คำถาม: ไวน์สกัดแอลกอฮอล์แตกต่างจากน้ำองุ่นอย่างไร?
ไวน์สกัดแอลกอฮอล์ผ่านกระบวนการผลิตเช่นเดียวกับไวน์ทั่วไป องุ่นจะถูกบ่มหมักจนได้น้ำไวน์เช่นเดียวกับไวน์ จากนั้นจึงมีการสกัดแอลกอฮอล์ออกก่อนการบรรจุขวด น้ำไวน์ที่ได้ยังคงมีรสชาติเหมือนไวน์เพียงแต่มีปริมาณแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อยโดยยังคงมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น ฟลาโวนอยด์และเรสเวราทรอล ไวน์สกัดแอลกอฮอล์ยังมีแคลอรี่เพียงครึ่งเดียวของไวน์ทั่วไป เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคอไวน์ที่รักสุขภาพและผู้ที่ระมัดระวังเรื่องน้ำหนักตัว
น้ำองุ่นเป็นเพียงน้ำขององุ่นที่มิได้ผ่านการหมักบ่ม มีประโยชน์ต่อสุขภาพน้อยกว่าไวน์ มีรายงานว่าการดื่มน้ำผลไม้อาจเป็นโทษเสียอีก คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ภาพด้านซ้าย
น้ำองุ่นเป็นเพียงน้ำขององุ่นที่มิได้ผ่านการหมักบ่ม มีประโยชน์ต่อสุขภาพน้อยกว่าไวน์ มีรายงานว่าการดื่มน้ำผลไม้อาจเป็นโทษเสียอีก คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ภาพด้านซ้าย
คำถาม: ไวน์มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไร?
การดื่มไวน์สักแก้วช่วยคลายความเหนื่อยล้าของคุณใช่หรือไม่? ถ้าใช่ เราสนับสนุนนิสัยเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าไวน์ดีต่อสุขภาพใช่หรือไม่? ใช่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวน์แดงที่มีแอลกอฮอล์ ดังนั้น ถ้าคุณเป็นคอไวน์ซึ่งรักการดื่มแล้วก็เป็นสิ่งที่ดีเพราะคุณจะได้รับสุขภาพที่ดีด้วยเช่นกัน
โดยดั้งเดิมแล้วไวน์ทำจากองุ่นซึ่งมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานหลายพันปี จุดเริ่มต้นของไวน์พบได้ราว 7,000-5,000 ปีก่อนคริสตกาล ในบางอารยธรรมมีการใช้ไวน์อย่างกว้างขวางรองจากชา แล้วเครื่องดื่มโบราณชนิดนี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณอย่างไรบ้าง? นี่คือคำตอบ
ไวน์แดงกับไวน์ขาว
สารโพลีฟีนอล (รวมทั้งเรสเวอราทรอล) เป็นองค์ประกอบทางเคมีที่พบมากในเปลือกองุ่น ในระหว่างกระบวนการผลิตไวน์ ยิ่งเปลือกองุ่นอยู่กับตัวองุ่นนานเพียงใด ความเข้มข้นของเรสเวอราทรอลในไวน์ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ในกรณีของการผลิตไวน์ขาว เปลือกถูกกำจัดออกก่อนการหมัก ทำให้ไวน์ขาวมีความเข้มข้นของเรสเวอราทรอลต่ำกว่าเมื่อเทียบกับไวน์แดง ดังนั้น ดีทั้งคู่แต่ไวน์แดงอาจดีกว่าเล็กน้อย
ควรดื่มเท่าไหร่?
ควรดื่มไวน์แดงแต่พอเหมาะ (หนึ่งหรือสองแก้วต่อวันสำหรับผู้ชายและหนึ่งแก้วสำหรับผู้หญิง) เพื่อให้ได้รับประโยชน์ของมัน หนึ่งแก้วประมาณ 120 มล.(4 ออนซ์) สำหรับไวน์ที่มีแอลกอฮอล์ราวร้อยละ 12 แต่ดื่มได้มากกว่านี้หากเป็นไวน์ไม่มีแอลกอฮอล์ สมาคมหัวใจอเมริกันยังเตือนผู้คนไม่ให้ดื่มไวน์ที่มีแอลกอฮอล์หากพวกเขายังไม่เคยดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มาก่อน
ได้เวลาวิ่งไปร้านไวน์ใกล้บ้าน (ด้วยวิธีนี้คุณยังได้ออกกำลังกายอีกด้วย) และซื้อไวน์ดีๆ สักขวดมาดื่มฉลองกับครอบครัวและเพื่อนของคุณในระหว่างอาหารมื้อเย็น
ฉลองกันหน่อย!
(Revised from: http://www.lifemojo.com/lifestyle/health-benefits-of-red-wine-44420602#ixzz1WJCmDi92)
โดยดั้งเดิมแล้วไวน์ทำจากองุ่นซึ่งมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานหลายพันปี จุดเริ่มต้นของไวน์พบได้ราว 7,000-5,000 ปีก่อนคริสตกาล ในบางอารยธรรมมีการใช้ไวน์อย่างกว้างขวางรองจากชา แล้วเครื่องดื่มโบราณชนิดนี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณอย่างไรบ้าง? นี่คือคำตอบ
- ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ: จากการศึกษาประโยชน์ของไวน์แดงข้อหนึ่งพบว่ามันมีผลต่อการป้องกันหัวใจ มีการศึกษาจำนวนมากที่ชิ้ให้เห็นว่า ไวน์แดงมีเรสเวอราทรอล (พบในเปลือกและเมล็ดองุ่น) ซึ่งช่วยเปลี่ยนระดับไขมันในเลือดโดยการเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิด HDL (คอเลสเตอรอลดี) และช่วยป้องกันการจับตัวของเลือด (ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหัวใจวาย) อันที่จริง การดื่มไวน์แดงวันละหนึ่งแก้ว (สำหรับผู้หญิง) หรือวันละสองแก้ว (สำหรับผู้ชาย) ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้ถึงร้อยละ 30-40
- คุณสมบัติในการต้านมะเร็ง: เรสเวอราทรอลยังช่วยกำจัดเซลล์มะเร็งโดยทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มันยังช่วยลดการกลายพันธุ์ของดีเอ็นเอซึ่งก่อให้เกิดโรคมะเร็งและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งใหม่โดยการป้องกันการก่อตัวของหลอดเลือดใหม่ที่ทำให้เนื้องอกโตขึ้น มันยังช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิดได้เป็นพิเศษ เช่น มะเร็งรังไข่และต่อมลูกหมาก อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาพบว่าแอลกอฮอล์อาจเพิ่มระดับเอสโตรเจนและทำให้เกิดเนื้องอกในผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมที่มีเอสโตรเจนโพสิทีฟ (หรือมีความเสี่ยงสูง) ดังนั้น ไวน์ไร้แอลกอฮอล์จึงเป็นทางเลือกที่ลงตัว!
- คุณสมบัติในการชลอความชรา: เป็นความจริงที่ว่าผู้หญิงชาวฝรั่งเศสสวยและนั่นก็เป็นเพราะไวน์แดง เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันร่างกายของมนุษย์จากความเสื่อมอันเกิดจากอนุมูลอิสระและทำให้กระบวนชราช้าลง ไวน์แดงมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อ โพลีฟีนอล (รวมทั้งเรสเวอราทรอล) ที่เข้มข้นสูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำองุ่น สารต้านอนุมูลอิสระป้องกันร่างกายมนุษย์จากความเสื่อมอันเกิดจากอนุมูลอิสระซึ่งทำให้เกิดความชราและโรคที่เกี่ยวข้องกับวัย มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งตีพิมพ์อยู่ในวารสาร Public Library of Science One (PLoS One) แนะนำว่า การดื่มไวน์แดงอาจทำให้เกิดประโยชน์เช่นเดียวกับอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ (การลดแคลอรี่ลงร้อยละ 20-30 จากอาหารทั่วไปสุขภาพดีขึ้นและช่วยยืดชีวิต) นักวิจัยพบว่า เรสเวอราทรอลในปริมาณที่ต่ำช่วยชลอความชราในหนูตัวเต็มวัยและช่วยทำให้สุขภาพหัวใจโดยรวมดีขึ้น
- ช่วยในการย่อย: อาหารขยะจำพวกทอดที่ผ่านกระบวนการมีสารทำลาย เช่น ไลปิดไฮโดรเปอร์ออกไซด์ (LOOH) และมาโลนาลดีไฮด์ (MDA) องค์ประกอบเหล่านี้อาจทำให้เกิดปัญหาด้านการย่อยและเพิ่มสารพิษในร่างกาย การศึกษาพบว่าการดื่มไวน์แดงกับอาหารดังกล่าว ช่วยทำให้องค์ประกอบในอาหารเหล่านี้มีความเป็นกลางมากขึ้นถึงร้อยละ 60-70 ดังนั้น จึงช่วยในกระบวนการย่อย ความสามารถนี้ในการทำให้ท็อกซินเป็นกลางมาจากประโยชน์ของสารโพลีฟีนอลที่มีอยู่ในไวน์แดง
- ช่วยขจัดความเครียด: ไวน์แดงเป็นยานอนหลับอ่อนๆ และสามารถช่วยผู้ป่วยด้านประสาทหรือป่วยอันเนื่องมาจากความวิตกกังวลและความเครียด มันยังช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณดื่มไวน์ไม่มีแอลกอฮอล์
- ป้องกันโรคอัลไซเมอร์: การทดสอบกับหนูแสดงให้เห็นว่า ไวน์แดงช่วยลดการสูญเสียความจำที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ได้ นักวิจัยพบว่า เรสเวอราทรอลในไวน์แดงยังมีผลด้านการป้องกันเซลล์ประสาทและช่วยทำลายคราบหินปูนที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ แม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่มีการวิจัยเรื่องดังกล่าวในมนุษย์ แต่คุณก็ไม่มีทางรู้ถึงความน่าประหลาดใจเหล่านี้
- สุขภาพฟัน: การศึกษาไวน์ไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศอิตาลีชิ้นหนึ่งพบว่า ไวน์แดงมีคุณสมบัติต้านแบคทีเรียที่ช่วยป้องกันแบคทีเรียที่ทำให้เกิดฟันผุ (สเตร็ปโตโคคัสมูตัน) มิให้ทำลายสารเคลือบฟัน นอกจากนี้ การวิจัยใหม่ๆ ยังแสดงให้เห็นว่า โพลีฟีนอลซึ่งเป็นองค์ประกอบทางธรรมชาติที่พบในเมล็ดองุ่นและไวน์แดง ดูเหมือนจะมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบที่ดีมากซึ่งช่วยจำกัดปริมาณการอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อโดยแบคทีเรียของเหงือกหรือโรคเหงือกอักเสบนั่นเอง
ไวน์แดงกับไวน์ขาว
สารโพลีฟีนอล (รวมทั้งเรสเวอราทรอล) เป็นองค์ประกอบทางเคมีที่พบมากในเปลือกองุ่น ในระหว่างกระบวนการผลิตไวน์ ยิ่งเปลือกองุ่นอยู่กับตัวองุ่นนานเพียงใด ความเข้มข้นของเรสเวอราทรอลในไวน์ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ในกรณีของการผลิตไวน์ขาว เปลือกถูกกำจัดออกก่อนการหมัก ทำให้ไวน์ขาวมีความเข้มข้นของเรสเวอราทรอลต่ำกว่าเมื่อเทียบกับไวน์แดง ดังนั้น ดีทั้งคู่แต่ไวน์แดงอาจดีกว่าเล็กน้อย
ควรดื่มเท่าไหร่?
ควรดื่มไวน์แดงแต่พอเหมาะ (หนึ่งหรือสองแก้วต่อวันสำหรับผู้ชายและหนึ่งแก้วสำหรับผู้หญิง) เพื่อให้ได้รับประโยชน์ของมัน หนึ่งแก้วประมาณ 120 มล.(4 ออนซ์) สำหรับไวน์ที่มีแอลกอฮอล์ราวร้อยละ 12 แต่ดื่มได้มากกว่านี้หากเป็นไวน์ไม่มีแอลกอฮอล์ สมาคมหัวใจอเมริกันยังเตือนผู้คนไม่ให้ดื่มไวน์ที่มีแอลกอฮอล์หากพวกเขายังไม่เคยดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มาก่อน
ได้เวลาวิ่งไปร้านไวน์ใกล้บ้าน (ด้วยวิธีนี้คุณยังได้ออกกำลังกายอีกด้วย) และซื้อไวน์ดีๆ สักขวดมาดื่มฉลองกับครอบครัวและเพื่อนของคุณในระหว่างอาหารมื้อเย็น
ฉลองกันหน่อย!
(Revised from: http://www.lifemojo.com/lifestyle/health-benefits-of-red-wine-44420602#ixzz1WJCmDi92)
คำถาม: เหตุใดจึงควรดื่มไวน์สกัดแอลกอฮอล์?
การแสดงออกที่ดูดีสร้างการยอมรับทางสังคมได้ง่ายและรวดเร็ว รวมถึงการมีสามัญสำนึกของการขับขี่อย่างปลอดภัยเช่นเดียวกับสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี ไวน์สกัดแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่น่าดึงดูดสำหรับผู้ไม่นิยมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ว่าจะโดยนิสัยหรือความชอบส่วนตัวรวมถึงผู้ที่ต้องการบริโภคแอลกอฮอล์แต่พอประมาณ ไวน์ชนิดนี้ยังเป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับผู้ที่ชอบดื่มไวน์แต่แพทย์แนะนำให้งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เนื่องจากเหตุผลทางสุขภาพ มันยังเป็นเครื่องดื่มที่ปลอดภัยสำหรับสตรีตั้งครรภ์ เด็ก โดยเฉพาะวัยรุ่น ผู้ปกครองจึงควรส่งเสริมให้เด็กๆ รับเอาวิธีการ "เท่ห์ได้ไม่เสียสุขภาพ" โดยการแนะนำเครื่องดื่มที่แอลกอฮอล์ต่ำ
แพทย์แนะนำให้สตรีงดดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างตั้งครรภ์และในระยะให้นมบุตรเนื่องจากเสี่ยงต่อภาวะความผิดปกติของตัวอ่อน ไวน์บิลลาบองจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ เด็ก โดยเฉพาะวัยรุ่น หากเราต้องการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนรุ่นใหม่ที่อาจเห็นว่าเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์มีไว้สำหรับเมา เราก็อาจจะเปลี่ยนทัศนคติของคนรุ่นนี้โดยการส่งเสริมเครื่องดื่มทางเลือกอย่างบิลลาบองซึ่งเป็นที่ยอมรับและได้รับการสนับสนุนทางสังคมอย่างรวดเร็ว
ทุกวันนี้ประเทศส่วนใหญ่ต่างพากันส่งเสริมกิจกรรมทางกีฬา ความรุ่งโรจน์ของคนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์และความสามารถทางด้านกีฬาชนิดต่างๆ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามาจากทัศนคติที่ดีต่อการรับประทานและการดื่มอย่างชาญฉลาด เครื่องดื่มที่แอลกอฮอล์ต่ำยังช่วยลดปริมาณแคลอรี่ลงเกือบร้อยละ 50 ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่ระวังน้ำหนักตัวและความฟิตของร่างกาย
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่า ผู้คนส่วนใหญ่ดื่มแอลกอฮอล์ลดลงและใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ในปี พ.ศ. 2541 ประชากรโลกร้อยละ 19 โดยประมาณไม่ดื่มแอลกอฮอล์ด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่ยอมรับว่าการดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อปัญหาด้านสุขภาพ เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่า คนไข้ที่กำลังรับประทานยาควรงดหรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยที่สุด มีข้อมูลงานวิจัยถึงประโยชน์ของการดื่มไวน์แดงวันละแก้ว ว่าช่วยควบคุมการเผาผลาญคอเลสเตอรอลในร่างกาย อย่างไรก็ตาม การทดสอบใหม่เปรียบเทียบระหว่างไวน์แดงที่มีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์พบว่า ไวน์แดงที่ไม่มีแอลกอฮอล์มีประโยชน์ต่อสุขภาพในระยะยาวมากกว่าโดยไม่ต้องเมาค้าง! ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าไวน์บิลลาบองคงคุณประโยชน์ของไวน์โดยมีปริมาณแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อยจึงเป็นความจริงโดยตัวมันเอง
โดยสรุป ไวน์สกัดแอลกอฮอล์กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลกในแง่ของการเป็นเครื่องดื่มทางเลือกที่แอลกอฮอล์ต่ำ ขอให้ท่านมีความสุขการดื่มอย่างชาญฉลาด มีสุขภาพที่ดี และมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก
แพทย์แนะนำให้สตรีงดดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างตั้งครรภ์และในระยะให้นมบุตรเนื่องจากเสี่ยงต่อภาวะความผิดปกติของตัวอ่อน ไวน์บิลลาบองจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ เด็ก โดยเฉพาะวัยรุ่น หากเราต้องการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนรุ่นใหม่ที่อาจเห็นว่าเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์มีไว้สำหรับเมา เราก็อาจจะเปลี่ยนทัศนคติของคนรุ่นนี้โดยการส่งเสริมเครื่องดื่มทางเลือกอย่างบิลลาบองซึ่งเป็นที่ยอมรับและได้รับการสนับสนุนทางสังคมอย่างรวดเร็ว
ทุกวันนี้ประเทศส่วนใหญ่ต่างพากันส่งเสริมกิจกรรมทางกีฬา ความรุ่งโรจน์ของคนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์และความสามารถทางด้านกีฬาชนิดต่างๆ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามาจากทัศนคติที่ดีต่อการรับประทานและการดื่มอย่างชาญฉลาด เครื่องดื่มที่แอลกอฮอล์ต่ำยังช่วยลดปริมาณแคลอรี่ลงเกือบร้อยละ 50 ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่ระวังน้ำหนักตัวและความฟิตของร่างกาย
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่า ผู้คนส่วนใหญ่ดื่มแอลกอฮอล์ลดลงและใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ในปี พ.ศ. 2541 ประชากรโลกร้อยละ 19 โดยประมาณไม่ดื่มแอลกอฮอล์ด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่ยอมรับว่าการดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อปัญหาด้านสุขภาพ เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่า คนไข้ที่กำลังรับประทานยาควรงดหรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยที่สุด มีข้อมูลงานวิจัยถึงประโยชน์ของการดื่มไวน์แดงวันละแก้ว ว่าช่วยควบคุมการเผาผลาญคอเลสเตอรอลในร่างกาย อย่างไรก็ตาม การทดสอบใหม่เปรียบเทียบระหว่างไวน์แดงที่มีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์พบว่า ไวน์แดงที่ไม่มีแอลกอฮอล์มีประโยชน์ต่อสุขภาพในระยะยาวมากกว่าโดยไม่ต้องเมาค้าง! ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าไวน์บิลลาบองคงคุณประโยชน์ของไวน์โดยมีปริมาณแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อยจึงเป็นความจริงโดยตัวมันเอง
โดยสรุป ไวน์สกัดแอลกอฮอล์กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลกในแง่ของการเป็นเครื่องดื่มทางเลือกที่แอลกอฮอล์ต่ำ ขอให้ท่านมีความสุขการดื่มอย่างชาญฉลาด มีสุขภาพที่ดี และมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก
คำถาม: แอลกอฮอล์มีผลต่อสมองอย่างไร?
มาดูกันว่าแอลกอฮอล์มีผลต่อสมองอย่างไรบ้าง โดยทั่วไปแล้วแบ่งภาวะมึนเมาหรือเป็นพิษออกได้เป็นสี่ระดับ:
ขั้นที่หนึ่ง - สมองส่วนแรกที่แอลกอฮอล์มีผลคือซีรีบรัลคอร์เท็กซ์ ทำให้คุณพูดมากขึ้นและยับยั้งชั่งใจน้อยลง เนื่องจากซีรีบรัลคอร์เท็กซ์ควบคุมการคิดของจิตสำนึก ภาษา และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม มิติทางบุคลิกภาพเหล่านี้เริ่มลดประสิทธิภาพภายใต้อิทธิพลของแอลกอฮอล์
ขั้นที่สอง - ถัดจากซีรีบรัลคอร์เท็กซ์ แอลกอฮอล์ก็เริ่มส่งผลกระทบต่อฮิปโปแคมปัส ทำให้สูญเสียความจำและแสดงอารมณ์เกินเลย นี่คือช่วงเวลาที่คุณเริ่มสูญเสียการทรงตัวและเริ่มบอกกับทุกคนว่า "ฉันรักเธอจัง!" เนื่องจากฮิปโปแคมปัสมีความสำคัญด้านความจำระยะยาว มันยังเป็นช่วงเวลาที่ความจำเริ่มเลอะเลือนอีกด้วย
ขั้นที่สาม - ส่วนถัดไปของสมองที่ได้รับผลกระทบคือซีรีเบลลัม ซึ่งทำลายความสัมพันธ์ของร่างกายและการทรงตัวอย่างรุนแรง นี่ไม่ใช่แค่การมองเห็น โดยทั่วไปคนที่อยู่ในขั้นนี้จะมีปัญหาอย่างมากในการทรงตัวจนยืนไม่ติดและมักมีอาการคลื่นไส้อาเจียน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าอาการเหล่านี้เกิดจากระดับของอะซีทัลดีไฮด์ที่เพิ่มขึ้นในร่างกายซึ่งเป็นผลพลอยได้ของการเผาผลาญแอลกอฮอล์
ขั้นที่สี่ - ในที่สุดแอลกอฮอล์ก็มาถึงเมดูลลาของคุณ บ่อยครั้งมักมีผลทำให้การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติไม่สัมพันธ์กัน เช่น อัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจ นี่เป็นเรื่องร้ายแรงและต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โดยทั่วไปในขั้นนี้ผู้ดื่มจะมีอาการเป็นลมและมีความเสี่ยงของแอลกอฮอล์เป็นพิษสูง
ทันทีที่คุณดื่มแอลกอฮอล์ ร่างกายของคุณก็เริ่มสูญเสียการทำงาน ตับของคุณเผาผลาญแอลกอฮอล์ได้ประมาณร้อยละ 90 ของปริมาณแอลกอฮอล์ที่คุณบริโภค อีกร้อยละ 10 ที่เหลือถูกขับออกทางปัสสาวะและลมหายใจในอัตราที่ช้ากว่ามาก โดยเฉลี่ยแล้วตับสามารถเผาผลาญ(แอลกอฮอล์)ได้ประมาณหนึ่งแก้วต่อชั่วโมง ถ้าคุณดื่มมากกว่านั้น ตับจะไม่สามารถทำให้แอลกอฮอล์แตกตัวได้เร็วพอและคุณก็จะเริ่มมีอาการเมา
(Reference: http://blog.beeriety.com/2010/01/14/alcohols-effect-on-the-brain/)
ขั้นที่หนึ่ง - สมองส่วนแรกที่แอลกอฮอล์มีผลคือซีรีบรัลคอร์เท็กซ์ ทำให้คุณพูดมากขึ้นและยับยั้งชั่งใจน้อยลง เนื่องจากซีรีบรัลคอร์เท็กซ์ควบคุมการคิดของจิตสำนึก ภาษา และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม มิติทางบุคลิกภาพเหล่านี้เริ่มลดประสิทธิภาพภายใต้อิทธิพลของแอลกอฮอล์
ขั้นที่สอง - ถัดจากซีรีบรัลคอร์เท็กซ์ แอลกอฮอล์ก็เริ่มส่งผลกระทบต่อฮิปโปแคมปัส ทำให้สูญเสียความจำและแสดงอารมณ์เกินเลย นี่คือช่วงเวลาที่คุณเริ่มสูญเสียการทรงตัวและเริ่มบอกกับทุกคนว่า "ฉันรักเธอจัง!" เนื่องจากฮิปโปแคมปัสมีความสำคัญด้านความจำระยะยาว มันยังเป็นช่วงเวลาที่ความจำเริ่มเลอะเลือนอีกด้วย
ขั้นที่สาม - ส่วนถัดไปของสมองที่ได้รับผลกระทบคือซีรีเบลลัม ซึ่งทำลายความสัมพันธ์ของร่างกายและการทรงตัวอย่างรุนแรง นี่ไม่ใช่แค่การมองเห็น โดยทั่วไปคนที่อยู่ในขั้นนี้จะมีปัญหาอย่างมากในการทรงตัวจนยืนไม่ติดและมักมีอาการคลื่นไส้อาเจียน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าอาการเหล่านี้เกิดจากระดับของอะซีทัลดีไฮด์ที่เพิ่มขึ้นในร่างกายซึ่งเป็นผลพลอยได้ของการเผาผลาญแอลกอฮอล์
ขั้นที่สี่ - ในที่สุดแอลกอฮอล์ก็มาถึงเมดูลลาของคุณ บ่อยครั้งมักมีผลทำให้การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติไม่สัมพันธ์กัน เช่น อัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจ นี่เป็นเรื่องร้ายแรงและต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โดยทั่วไปในขั้นนี้ผู้ดื่มจะมีอาการเป็นลมและมีความเสี่ยงของแอลกอฮอล์เป็นพิษสูง
ทันทีที่คุณดื่มแอลกอฮอล์ ร่างกายของคุณก็เริ่มสูญเสียการทำงาน ตับของคุณเผาผลาญแอลกอฮอล์ได้ประมาณร้อยละ 90 ของปริมาณแอลกอฮอล์ที่คุณบริโภค อีกร้อยละ 10 ที่เหลือถูกขับออกทางปัสสาวะและลมหายใจในอัตราที่ช้ากว่ามาก โดยเฉลี่ยแล้วตับสามารถเผาผลาญ(แอลกอฮอล์)ได้ประมาณหนึ่งแก้วต่อชั่วโมง ถ้าคุณดื่มมากกว่านั้น ตับจะไม่สามารถทำให้แอลกอฮอล์แตกตัวได้เร็วพอและคุณก็จะเริ่มมีอาการเมา
(Reference: http://blog.beeriety.com/2010/01/14/alcohols-effect-on-the-brain/)